หากคุณทำธุรกิจออนไลน์ คุณต้องรู้จัก Sale page แล้ว Sale page คือ อะไร และสำคัญกับธุรกิจออนไลน์ยังไง เรามาทำความรู้จัก Sale page กันดีกว่า
เนื้อหา
ToggleSale page คือ อะไร
Sale page พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ หน้าเว็บหน้าหนึ่งที่อยู่ในเว็บไซต์เรา
Sale page ทำหน้าที่เสนอสินค้าหรือบริการที่ต้องการขายต่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย แล้วทำให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายทำการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของเราในหน้า Sale page นี้
เป้าหมายหลักของ Sale page ก็คือ เปลี่ยนผู้ดูสินค้าเป็นผู้ซื้อสินค้า (to convert) ตรงนี้แหละที่ทำให้ Sale page ต่างจาก Landing page (เราจะพูดถึง Landing page ในบทความแยกต่างหาก)
การทำ Sale page เป็นกลยุทธ์การขายของครบและจบในหน้าเดียว หลักๆเป็นการออบแบบงานโฆษณาที่แสดงสินค้าและบริการ และปิดการขายภายในเพจเดียว เป็นกลยุทธ์การขายที่เรามักเห็นทั่วไปตาม online shopping website
ตัวอย่าง Sale page
จากตัวอย่าง Sale page ข้างต้น จะเห็นว่า
- เว็บเพจเสนอนักแสดงวัยรุ่น สดใส ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
- เว็บเพจออกแบบสีสันตาม concept กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่วางไว้ คือ วัยรุ่น วัยใส
- เว็บเพจเสนอโปรโมชั่นให้เลือกหลากหลาย (แพคเกจ แพคคู่)
- เว็บเพจวาง Layout ของ content ในส่วนของสินค้าให้ดูสินค้าได้ง่าย สะอาดตา ไม่มี animation หรือตัวการ์ตูน หรือ graphic ที่ไม่จำเป็นมาดึงความสนใจจากสินค้าไป อันนี้สำคัญในการออกแบบและเพิ่มน้ำหนักให้คนดูให้ความสนใจไปที่สินค้าที่เราต้องการขาย
- เว็บเพจเพิ่มปุ่มสั่งซื้อสินค้า เมื่อกดแล้วเว็บเพจจะเพิ่มสินค้าไปที่ตระก้าทันทีโดยคนดูยังอยู่ที่หน้า Sale page เดิม เพื่อให้คนดูทำการดูและสั่งซื้อสินค้าเพิ่ม
- สินค้าไหนต้องการขายให้ยอดได้มากกว่าสินค้าอื่น ก็ใส่ label ไปว่า “ขายดี”
- มีระยะเวลาว่า โปรโมชั่นจะหมดเมื่อไร เพื่อกระตุ้นให้คนดูซื้อเร็วขึ้น วิธีนี้ต่างประเทศใช้มานานแล้ว
Sale page ดียังไง ควรทำไหม
หลังจากที่คุณเห็น Sale page ของ DrJill ข้างต้น และคุณคงได้เห็น Sale page จากสินค้าและบริการอื่นๆจากหลายๆช่องทางออนไลน์มาแล้ว คุณคงจะเห็นด้วยกับเราว่า Sale page สำคัญมาก สำหรับธุรกิจขายสินค้าและบริการออนไลน์
ในหน้า Sale page 1 หน้า คุณนำเสนอข้อมูลที่มีความกระชับ ง่ายต่อการเข้าถึง แสดงผลได้ดีทั้งบนหน้าจอและมือถือ ไม่ต้องคลิกไปดูหลายหน้า เหมาะสำหรับพฤติกรรมผู้คนสมัยนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งใช้มือถือเป็นประจำ
Sale page จะเน้นความสะดวกและง่ายต่อการเข้าถึงสินค้าและบริการ ยิ่งสะดวกและง่ายเท่าไร คนดูหน้า Sale page ก็ตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการเร็วเท่านั้น
CNX WEBDesign, รับทำเว็บขายของออนไลน์ ติดตั้งตะกร้าสินค้า ติดตั้งระบบรับชำระสินค้าออนไลน์ ติดตั้งระบบสร้างใบสั่งซื้ออัตโนมัติ การติดตามใบสั่งซื้อ(สถานะใบสั่งซื้อ) และรายงานยอดขายประจำวัน ประจำเดือน และประจำปี เหมาะสำหรับร้านค้า ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ติดต่อสอบถามได้เลย!
ต้องการทำเว็บขายของหลักการออกแบบ Sale page
หลักการในการออกแบบ Sale page ที่เราแนะนำก็คือ
- รู้จักกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคุณก่อน เช่น กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มนักเรียน กลุ่มคนทำงานใหม่ เป็นต้น
- เมื่อเรารู้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายแล้ว เราก็มาสร้างโจทย์ว่า สินค้าและบริการที่เราเสนอให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย แก้ปัญหาให้พวกเขายังไง แล้วทำไมสินค้าและบริการเราถึงดีที่สุดสำหรับพวกเขาเหล่านั้น
- Call to Action: CTA ต้องใช้คำชัดเจนและตรงกับสิ่งที่ต้องการให้คนดูคลิก สำหรับ Call to Action หรือเรียกย่อๆว่า CTA ก็คือปุ่มที่เปลี่ยนให้คนดูเว็บเพจหันมาคลิกเพื่อนำไปยังจุดประสงค์ที่เราต้องการ ในที่นี่จุดประสงค์คือ สั่งซื้อสินค้าและบริการ เราก็จะสร้าง CTA ของเราซึ่งก็คือ “ปุ่มสั่งซื้อ” หากมีพวกคูปองส่วนลด เราก็สามารถใช้ CTA ได้เหมือนกัน
- เนื้อหาที่ใส่ในหน้า Sale page จะสั้นหรือจะยาวก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่า สินค้าและบริการนั้นๆต้องมีการอธิบายมากน้อยขนาดไหนให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเข้าใจในตัวสินค้าและบริการ ถ้าเป็นไปได้เนื้อหาควรกระชับ เข้าใจง่าย ตรงประเด็น แต่ถ้าสินค้าและบริการต้องอธิบายรายละเอียดแยะ ควรแบ่งเนื้อหาเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนอธิบายแบบสั้น (short description) และส่วนอธิบายแบบยาว (long description) โดยการอธิบายแบบสั้นจะช่วยให้คนที่ตัดสินใจซื้อง่าย ทำการสั่งซื้อสินค้าและบริการได้ทันที โดยเราต้องวางปุ่มสั้งซื้อ (Call to Action: CTA) ใต้การอธิบายแบบสั้น รองรับการตัดสินใจสั่งซื้อ ส่วนการอธิบายแบบยาวจะช่วยให้คนที่ตัดสินใจซื้อยาก (ลังเล หรือต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม) ได้อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าและบริการ ซึ่งเราต้องใส่ปุ่มสั่งซื้อ (Call To Action: CTA) ขั้นระหว่างคำอธิบายยาวๆนั้นบ่อย เพื่อจูงใจให้คนดูซื้อสินค้าและบริการเราเร็วขึ้น
- สำหรับการออกแบบ Sale page เราจะรู้ได้ยังไงว่า การออกแบบแบบไหนจะทำให้คนดูตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการของเรามากที่สุด ทางการตลาดเราจะใช้วิธีการที่เรียกว่า A/B testing ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ทำให้เรารู้ว่า หน้า Sale page แบบไหน ช่วยให้คนดูตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการได้มากที่สุด
- หากคุณไม่มีเครื่องมือทำ A/B testing คุณลองออกแบบให้สวยงามน่าสนใจ เรียงเนื้อหาว่า เนื้อหาไหนควรวางก่อน แล้วเนื้อหาไหนตามหลัง ส่วนปุ่มสั่งซื้อ (Call To Action: CTA) เวลาแสดงบนมือถือควรอยู่ทางขวา เพื่อให้คนถือมือถือข้างเดียวใช้นิ้วโป้งมือขวากดได้ง่ายๆ
- หัวเรื่อง (headline)และหัวเรื่องรอง (subheadings) ควรเป็นคำที่กระชับ และเข้าประเด็นที่เราต้องการเลย เช่น “บอกลาปัญหารอยสิวในขวดเดียว” เป็นต้น
- ต้องบอกประโยชน์ที่ได้จากสินค้าและบริการด้วย เน้นประโยชน์มากกว่าจุดเด่นสินค้า เพราะลูกค้าต้องการประโยชน์ที่ได้จากสินค้าและบริการ (focus on benefits and not features)
- ใช้ภาษาที่ทำให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างคุณกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เช่น “ปัญหาที่ผู้หญิงทุกคนต้องเผชิญ เราเข้าใจและช่วยคุณได้ด้วยผ้าอนามัยแบบใหม่ ไม่ห่อตัว ซึมซับได้นาน ไม่อับ” เป็นต้น
- วิธีจูงใจคนที่ตัดสินใจยาก ที่นิยมกันตอนนี้ คือ การใส่ระยะเวลาโปรโมชั่นโดยแสดง timer (time-limited discount or offer)
- สร้างความเชื่อมั่นในสินค้าและบริการ เช่น รีวิวจากผู้ใช้จริง (จาก facebook, shopee, lazada ทุกที่ที่คุณมีที่รีวิวให้ลูกค้าคุณ) หรือจาก Youtuber มารีวิวให้ หรือมีการการันตีสินค้าและบริการพร้อมคืนเงินหรือเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่ เป็นต้น จำไว้ว่าเมื่อลูกค้าเชื่อมั่นในสินค้าและบริการคุณ ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อได้ง่าย
- ใส่รูปหรือวิดิโอในหน้า Sale page – รูปหรือวิดิโอจะช่วยเพิ่มอารมณ์ร่วมและการเชื่อมโยงระหว่างสินค้าและบริการ กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (impact of visuals)
- เนื้อหาที่เขียนในหน้า Sale page ควรอ่านง่าย ใช้คำที่ง่ายไม่ต้องหรูหราซับซ้อน แบ่งวรรณและช่องไฟให้อ่านบนมือถือได้ง่าย ตัวฟอร์นก็ต้องอ่านง่าย ขนาดฟอร์นไม่เล็กจนอ่านบนมือถือไม่ได้ แบ่งย่อหน้า (paragraph) ให้กระชับอ่านเป็นช่วงๆได้ง่าย และแต่ละย่อหน้าเนื้อหากระชับได้ใจความ
- ลบสิ่งที่จะทำให้คนดูไปโฟกัสผิดจุด – เราต้องการให้คนดูซื้อสินค้าและบริการของเรา พวก Elements ที่ไม่จำเป็นที่จะมาใส่หน้าเว็บเพจให้เอาออก เช่น Sidebar พวก Header และ Footer มี Elements ให้น้อยที่สุด เหมือนกันตัวอย่าง Sale page ของ DrJill ข้างบนที่แปะไว้ให้ดู หรือไม่มี Header และ Footer เลยก็ได้ขึ้นอยู่กับสินค้าและบริการที่เราต้องการขาย
- ต้องออกแบบ Sale page ให้แสดงได้ดีทั้งหน้าจอคอม แท็บเล็ตและมือถือ (use responsive design) ในที่นี้แนะนำให้ความสำคัญการแสดงผลสำหรับมือถือมากที่สุด เน้นให้คนถนัดมือขวา ถือมือถือมือเดียวเลื่อนและคลิกปุ่มสั่งซื้อได้ง่าย
- วิธีเร่งคนดูให้ตัดสินใจซื้ออีกวิธีคือ ใส่ระยะเวลาโปรโมชั่นพร้อม countdown timer หรือ countdown bar จำนวนสินค้าโปรโมชั่นที่เหลืออยู่ในรูปแบบกราฟิกแบบ “in stock bar” เหมือน Flash sale ที่เราเห็นกันทั่วไปใน shopee
- หากคนดูกำลังจะปิดหน้าต่างเว็บเพจเราไป ก่อนปิดเราดักด้วย popup (คือ หน้าต่างเล็กๆที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอเรา เราเห็นกันบ่อยๆเวลาเว็บไซต์ shopee มีโปรโมชั่น Flash sale 11.11 เป็นต้น) ขึ้นมาพร้อมโปรโมรชั่นพิเศษและประโยคโดนๆให้คนดูคนนั้นหยุดอ่านก่อน ก่อนที่จะปิดเว็บเพจเราจริงๆ
- ใช้ Social network เพื่อช่วยกระจายสินค้าและบริการของคุณออกไปยังโลกออนไลน์ เช่น เพิ่มปุ่มแชร์ไปยัง social network platform ต่างๆที่กลุ่มเป้าหมายคุณใช้ (Facebook, Line, Twitter, Instagram)
CNX WEBDesign, รับทำเว็บขายของออนไลน์ ติดตั้งตะกร้าสินค้า ติดตั้งระบบรับชำระสินค้าออนไลน์ ติดตั้งระบบสร้างใบสั่งซื้ออัตโนมัติ การติดตามใบสั่งซื้อ(สถานะใบสั่งซื้อ) และรายงานยอดขายประจำวัน ประจำเดือน และประจำปี เหมาะสำหรับร้านค้า ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ติดต่อสอบถามได้เลย!
สรุปสุดท้าย
เนื้อหาวันนี้อาจยาวไปสักหน่อย แต่จะทำให้คุณเข้าใจ Sale page ได้มากขึ้น นอกจาก Sale page แล้วทางการตลาดออนไลน์ยังมี Landing page และ Microsite อีกด้วย ซึ่งสองอย่างหลังนี้ก็มีหน้าที่โฆษณาสินค้าและบริการเหมือนกัน แต่จะต่างกับ Sale page ยังไง ต้องติดตามบทความถัดไปน่ะค่ะ