วันนี้เรามาคุยเรื่อง การเปลี่ยนจากผู้เข้าชมเว็บไซต์เป็นลูกค้ากัน ตั้งแต่มีโควิคมา การติดต่อหาข้อมูลทางออนไลน์ก็เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มจะสูงไปจนถึงปีหน้ากันเลยทีเดียว แต่เอะ ถ้าคุณมีเว็บไซต์ของคุณอยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยมีคนสนใจเข้ามาดู หรือเข้ามาขอซื้อสินค้าหรือบริการเท่าไร เวลาล่วงเลยไปเป็นหลักเดือนก็ยังไม่มีทีท่าว่า เว็บไซต์คุณจะนำลูกค้าใหม่เข้ามา บทความนี้มี 10 tips มานำเสนอ ให้คุณเช็คตามรายการได้เลย
เนื้อหา
ToggleBe Visible - เว็บคุณมีตัวตนสำหรับ Search Engine หรือเปล่า
อย่างแรกเลย เวลาผู้คนค้นหาคำหรือ phrases จาก Search Engine (Google, Bing) ผลลัพท์ที่แสดงมีเว็บคุณไหม ถ้าไม่มีคุณก็ต้องมามองแล้วว่า หน้า Landing page คุณใช้ Keywords ได้ถูกต้องหรือยัง และ Keywords ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหรือเปล่า ถ้าคุณไม่จ้าง SEO export มาทำ Ranking สำหรับ Search Engine ให้คุณ คุณก็สามารถซื้อโฆษณาจาก Google (Google AdWords) หรือจะจ่ายเป็นโฆษณาแบบ Pay-per-click ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง หากคุณต้องการจ้าง SEO Export คุณต้องค้นหาบริษัทที่รับจ้างทำ Marketing online ราคาขึ้นอยู่กับคุณภาพของงาน หากต้องการการันตี Ranking ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ราคาอาจสูงถึงหลักแสนกันเลยทีเดียว หากคุณไปเจอเสนอราคาถูกเอามากๆ คือหลักพัน ให้ทำใจไว้เลยว่าอาจถูกปั่น Ranking หลังจากนั้นไม่กี่เดือนเว็บคุณอาจถูกแบนจาก Search Engine ไปเลย “ของถูกและดีไม่มีในโลก”
กำหนดกลยุทธ์ของเว็บไซต์คุณ
ตั้งคำถามกับตัวเองว่า คุณมีเว็บไซต์เพื่ออะไร หลังจากนั้นก็ถามตัวเองว่า เว็บไซต์ของคุณมีกลยุทธ์เพื่อตอบสนองสิ่งที่คุณตั้งเป้าหมายของการมีเว็บไซต์ไว้ไหม เช่น คุณมีเว็บไซต์เพื่อสร้างตัวตนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับ Brand และ ธุรกิจของคุณ แล้วเว็บไซต์คุณมีกลยุทธ์อะไรในการตอบโจทย์คุณได้บ้าง โดยทั่วไปคุณควรวางกลยุทธ์ไว้สองหรือสามกลยุทธ์ ถ้ามากไปกว่านั้น แนวโน้มที่จะสำเร็จทั้งหมดเป็นไปได้ยาก
ปัญหาที่ทางเราเคยพบเจอคือ ลูกค้าไม่ clear ว่า ต้องการเว็บไซต์เพื่อจุดประสงค์อะไรกันแน่ ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นใคร ไม่สามารถ scope ให้แคบลงได้ เมื่อคุณไม่ clear ว่า ลูกค้าคุณคือใคร เว็บไซต์ก็จะออกมาแบบทั่วไป คือ ว่านแหน ในมหาสมุทร นั่นเอง
สร้าง Landing page
ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในวงการการทำตลาดออนไลน์ คุณจะไม่รู้จัก Landing page เลย สั้นๆ Landing page ก็คือ webpage หน้าหนึ่งที่เอาไว้เป็น target จากการโฆษณา ไม่ว่าโฆษณานั้นจะมาจาก Facebook, Google AdWords, หรือ Advertising banner ที่คุณไปซื้อพื้นที่แปะไว้กับเว็บดังต่างๆ ตามกลุ่มเป้าหมายลูกค้าคุณ
ยกตัวอย่างเช่น บริษัทประกันภัยต้องการให้ลูกค้าหันมาใช้งาน Mobile app มากกว่า Web app บริษัทก็จะทำ Landing page เชิญชวนให้ลูกค้ามาใช้งาน Mobile app พร้อมเสนอสิทธิพิเศษและโน้มแนวให้ใช้งาน Mobile app ใน Landing page นั้น นอกจากนี้ยังมี Link ไปที่ Google Play หรือ Apple store เพื่อให้ download Mobile app ด้วยในหน้า Landing page เวลาลูกค้าเข้าไปที่หน้าเว็บไซต์หรือ Facebook ก็จะมีการทำโฆษณา Link กลับมาที่ Landing page
อีกตัวอย่างเช่น คุณมีสินค้าหรือโปรโมรชั่นประจำเดือนนี้ คุณอยากโปรโมทคุณสร้าง Landing page สำหรับสินค้านั้นๆขึ้นมา
สำหรับ WordPress การสร้าง Landing page ใช้เวลาที่รวดเร็ว หากคุณมีเว็บไซต์ที่ทำจาก WordPress การสร้าง Landing page ก็ไม่ได้ยุ่งยาก
ทำยังไงให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ไม่ออกจากเว็บไซต์คุณเร็วเกินไป
ถ้าคุณได้ติดตามผู้เข้าชมอย่างสม่ำเสมอ (มีเครื่องมือทางการตลาดช่วย) คุณจะสังเกตได้ทันทีว่า ผู้เข้าชมเข้ามาที่เว็บคุณจากหน้าไหน ใช้เวลาอยู่ที่หน้าเว็บคุณนานแค่ไหน คลิกดูอะไรบ้าง แล้วออกจากเว็บคุณจากหน้าไหน ถามว่า สถิติเหล่านี้บอกอะไรคุณบ้าง ก็บอกได้ว่า heading และ content ของคุณเขียนได้ตอบโจทย์กับสิ่งที่ผู้เข้าชมมาดูหรือเปล่า เว็บคุณหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายและเร็วขนาดไหน ถ้าเว็บคุณมีปัญหาการหาข้อมูลไม่เจอตามที่ผู้เข้าชมต้องการ คุณต้องแก้ไข sitemap อย่างด่วน
ทางเราเคยมีประสบการณ์หาข้อมูลราคาบริการของเว็บหนึ่ง ซึ่งใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ใช่ค่ะ ครึ่งชั่วโมง เป็นการออกแบบเว็บไซต์ที่ผิด 100% การหาข้อมูลจากวเว็บไซต์ควรใช้เวลาไม่เกิน 1-2 นาที มากกว่านั้น เว็บไซต์คุณมีปัญหาแล้วค่ะ
Call to Action is a must
Call to Action คุณต้องมีบนเว็บไซต์คุณ ตัวอย่าง Call to Action คือ เบอร์โทร ,อีเมลติดต่อ, ช่องทาง social network, หยิบสินค้าใส่ตะกร้า เป็นต้น
การันตีสินค้าหรือบริการ
ธุรกิจไหนไม่มีการการันตีสินค้าหรือบริการ มั่นใจได้เลยว่า ไม่ใช่มืออาชีพ คุณควรมี return policy และ privacy policy ให้ชัดเจนและละเอียด ลูกค้าจะได้มั่นใจและไม่ทำให้เกิดปัญหาระหว่างคุณกับลูกค้าทีหลัง
Testimonials
Testimonials เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า สินค้าหรือบริการของคุณมีคุณภาพ เนื่องจากลูกค้าได้ review สินค้าหรือบริการให้คุณ แนะนำให้คุณนำ Testimonials จากลูกค้ามาใส่ในเว็บไซต์คุณด้วย หากมีและลูกค้าอนุญาต
Contact form / Contact buttons
ลูกค้าบางคนสะดวกโทร ลูกค้าบางคนสะดวกอีเมล แต่การที่มี contact form หรือ contact buttons ให้ใช้งานได้ทันที ก็สะดวกสำหรับลูกค้าเช่นกัน แนะนำว่า contact form ต้องไม่มีความซับซ้อนและยาวเกินไป ถ้าเป็นไปได้จะใส่ contact form ในทุกหน้าก็ได้ เช่น เว็บไซต์ของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ที่เตรียม contact form ให้ไว้ทุกหน้า เพื่อสะดวกในการติดต่อโรงพยาบาล
จูงใจให้ลูกค้าติดต่อคุณได้เร็วขึ้น
หลักงานง่ายๆ เช่น มีส่วนลด หรือ rewards / coins เป็นต้น
ทดสอบ
แนะนำให้ใช้ A/B test tools ในการทดสอบ Landing page หรือเว็บไซต์คุณ Digital Marketing agency ที่เชี่ยวชาญจะใช้ A/B test tools
สรุป
หลักการ ก็คือ คุณต้องรู้ว่า เป้าหมายของการมีเว็บไซต์ คือ อะไร และมีแนวทางวัดผลตามเป้าหมายอย่างไร
เป้าหมายใหญ่คืออะไร นำเป้าหมายใหญ่นั้น มาแตกย่อยเป็นเป้าหมายเล็กๆ แล้วค่อยๆทำไปทีละเป้าหมายตามลำดับความสำคัญและสถาณการ์ณในตอนนั้นๆ ติดตามผลลัพธ์อยู่เรื่อยๆ เช่น ทุกอาทิตย์หรือทุกเดือน วิเคราะห์ผลลัพธ์และ review เป้าหมาย แล้วพัฒนาหรือปรับปรุงให้สอดคล้องกับเป้าหมายของคุณ
นักการตลาดออนไลด์จะเป็นส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมาย ส่วนนักพัฒนาเว็บไซต์จะค่อยสนับสนุนปรับเปลี่ยนเว็บไซต์และ loading performance และ integrate Marketing tools ต่างๆเพื่อให้นักการตลาดสามารถใช้งานข้อมูลสถิติที่ต้องการจากเว็บไซต์ได้
เราหวังว่า บทความนี้จะมีประโยชน์กับคุณไม่มากก็น้อย บทความหน้าจะมีอะไรที่มีประโยชน์มาแชร์กันอีก คอยติดตามชมจ้า
กำลังมองหาผู้ให้บริการที่มีประสบการณ์ในการออกแบบและสร้างเว็บไซต์ให้คุณอยู่ใช่ไหม? CNX WebDesign เราจัดการให้คุณได้ เราออกแบบและสร้างเว็บไซต์ให้ตรงกับสินค้าและบริการของคุณ รวมทั้งออกแบบเว็บไซต์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณโดยใช้ WordPress ซึ่งเป็นระบบจัดการข้อมูลสำหรับเว็บไซต์ที่ดีที่สุดระบบหนึ่งในปัจจุบัน สนใจพูดคุยกับเราได้เลย!