หลายคนมีคำถามตลอดว่า ทำไมต้องสร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress ใช้ CMS อื่น, Framework อื่นหรือ Web builder platform อื่นไม่ได้เหรอ คำตอบง่ายๆคือ คุณจะสร้างเว็บไซต์ด้วย CMS (Content Management System) อื่น, Frameworks อื่น หรือ Web builder platform อื่นอะไรก็ได้ หากตัวเลือกนั้นตอบโจทย์ของคุณ!
ปัจจัยอะไรที่ทำให้คุณเลือกเครื่องมือในการสร้างเว็บไซต์ของคุณ
งบประมาณ (budget)
คุณตั้งงบประมาณสำหรับการสร้างเว็บไซต์ไว้เท่าไร
อย่าลืมว่า เว็บไซต์จะมีค่าใช้จ่าย 3 ส่วนหลักๆ คือ ค่าจัดทำเว็บไซต์(โดยมากชำระครั้งเดียว) ค่าเช่าพื้นที่วางเว็บไซต์(ค่าเช่าจ่ายรายปี) และค่าจด/ต่อทะเบียนโดเมนเนม(ค่าธรรมเนียมชำระรายปี)
นอกจากค่าใช้จ่ายหลักๆเหล่านี้ อาจมีค่าใช้จ่ายย่อยอีก เช่น การทำการตลอดออนไลน์, การทำ SEO ranking, ค่าออกแบบโลโก้, การใช้บริการ newsletter, การใช้บริการ mail server เป็นต้น
งบประมาณที่ตั้งจะคืนทุนเมื่อไร ซึ่งก็คิดจาก value ที่ได้จากการทำเว็บไซต์ value ในที่นี้คือ ตัวเงิน ความเชื่อถือของร้านค้า ลูกค้ารู้จักร้านค้ามากขึ้น(เพิ่มฐานลูกค้า) เป็นต้น คุณซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจควรวางแผนในส่วนงบประมาณนี้ไว้ แล้วจะทำให้ตัดสินใจในการเลือกเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น
ความง่ายและรวดเร็วในการจัดการระบบหลังบ้าน (backend)
ในส่วนนี้ก็สำคัญเช่นกัน ระบบหลังบ้านต้องง่ายในการใช้งาน ยิ่งไม่ต้องพึ่ง User manual หรือ document สอนเท่าไร ยิ่งดีเท่านั้น ระบบหลังบ้านที่ง่ายทำให้การทำงานเร็วขึ้น คุณก็เอาเวลาที่เหลือไปทำอย่างอื่นได้
ความอิสระในการจัดการหน้าตาของเว็บไซต์ (template)
ยกตัวอย่างเช่น template ที่ใช้กับ Major Cineplex ไม่สามารถนำมาใช้กับเว็บคลีนิกทำฟันได้ เพราะเนื้อหาที่ต้องการสื่อสารต่างกัน ดังนั้นการที่เราสามารถปรับเปลี่ยน template เองได้ตามเนื้อหาของเราจะดีที่สุดค่ะ
SEO friendly
เครื่องมือที่สร้างเว็บไซต์ จะต้องมีโครงสร้างที่รองรับ SEO โครงสร้างในที่นี้คือ template(HTML file) ซึ่งเป็นภาษาที่ browser อ่านและแสดงผลหน้าเพจให้คนดูเห็นได้
ป้องกันการจู่โจมจาก Hacker และ Bots
เครื่องมือที่สร้างเว็บไซต์ต้องมีการ update อย่างสม่ำเสมอ มีการป้องกันการถูกจู่โจมจาก Hacker และ Bots
สามารถเพิ่ม features ได้
เครื่องมือที่สร้างเว็บไซต์ควรมีความยืดหยุ่นให้สามารถเพิ่ม features ใหม่ๆ เข้าไปกับเว็บไซต์ได้ เช่น ต้องการให้เว็บไซต์มี event calendar, เพิ่มช่องให้กรอก newsletter, จองโรงแรมหรือทัวร์ออนไลน์ได้ เป็นต้น ถ้าเครื่องมือที่คุณคิดจะใช้สร้างเว็บไซต์มีข้อจำกัดในการเพิ่ม features ที่คุณต้องการ ให้คุณหาเครื่องมืออื่นเลยค่ะ
การบำรุงรักษาเว็บไซต์ (maintenance)
หัวข้อนี้คนที่ไม่มีความรู้เรื่องเว็บไซต์ในเชิง technical จะไม่รู้เลยว่า การบำรุงรักษาเว็บไซต์สำคัญมาก การบำรุงรักษาเว็บไซต์คืออะไร ยกตัวอย่างเครื่องมือ เช่น WordPress มีการอัพเดทอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับฐานข้อมูลและภาษาที่ใช้เขียน WordPress ได้ สำหรับ WordPress เป็น CMS ที่ถูกสร้างมาด้วยภาษา PHP และติดต่อกับฐานข้อมูลที่เรียกว่า MySQL หรือ MariaDB โดยทั่วไป Web Hosting ที่เว็บไซต์วางอยู่ จะมีการ update version ของ PHP และฐานข้อมูลด้วยเหตุผลเรื่องการปรับปรุง performance และอุดช่องโว่การโจมตีจาก Hacker หรือ Bots หากเครื่องมือที่คุณจะเลือกใช้สร้างเว็บไซต์ไม่มีการ update เลย เว็บคุณมีความเสี่ยงสูงมากที่จะถูก hack
ทำไมต้องสร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress
คำถามที่คุณมีต่อมาคือ แล้วทำไมต้อง WordPress
สำหรับความคิดเห็นส่วนตัว จากการใช้เครื่องมือทั้ง CMS, Framework และ Website builder platform เจ้าอื่นมา สิ่งที่ WordPress โดดเด่นที่สุดคือ ความสามารถในการเพิ่ม features ได้
การเพิ่ม features ให้กับ WordPress สามารถทำได้ 2 แบบ คือ
- ติดตั้ง Plugin ซึ่งสามารถจ้าง web developer สร้างให้, download free plugin มาติดตั้งเอง หรือซื้อ plugin มาติดตั้งเอง
- จ้าง web developer ให้เขียนโค้ดเพิ่มเข้าไปกับ child theme ของ WordPress โดยไม่ใช้ plugin ก็ได้
สำหรับ WordPress plugin มีให้เลือกใช้แยะมากๆๆๆๆๆ มีทั้งแบบฟรีและแบบต้องเสียเงิน แบบเสียเงินก็แยกเป็นเสียเงินครั้งเดียว, เสียเงินรายเดือน หรือเสียเงินรายปี เป็นต้น ขึ้นอยู่กับ plugin นั่นๆเลย
อีกอย่างที่สำคัญคือ tutorial การใช้งานและแก้ปัญหา WordPress เบื้องต้นมีแยะมาก รวมถึง WordPress developer ก็มีมากเช่นกัน เวลาเว็บคุณมีปัญหา คุณสามารถจ้างบริษัทหรือฟรีแลนซ์ช่วยคุณได้เลย
บทสรุป
คุณจะใช้เครื่องมืออะไรสร้างเว็บไซต์ก็ได้ ถ้าเครื่องมือนั่นๆตอบโจทย์คุณ สิ่งสำคัญที่คุณควรคำนึงคือ การเพิ่ม features ใหม่ๆ ในอนาคต เมื่อธุรกิจเติบโต หรือธุรกิจมีความต้องการมากขึ้น คุณอยากจะเพิ่ม features ใหม่เข้าไปในเว็บไซต์คุณ สิ่งนี้ควรจะทำได้ ลืมไปหนึ่งอย่างว่า WordPress สามารถย้ายไปวางที่ Web hosting ไหนก็ได้ ถ้า Web hosting นั่นรองรับ WordPress
ยกตัวอย่าง ร้านค้าออนไลน์คุณมีคนเข้ามาซื้อทางหน้าเว็บไม่มากต่อเดือน และสินค้ายังไม่มาก คุณอาจเลือกใช้ Share Web Hosting ราคาประหยัด ต่อมาธุรกิจเติบโตต้องการ upgrade ไป Web hosting ใหม่ที่มีพื้นที่รองรับสินค้าที่มากขึ้นได้ คุณก็แค่ย้าย WordPress คุณไป Web hosting ใหม่เป็นต้น หากคุณใช้งาน Web builder platform เช่น Shopify, Squarespace หรือ Wix คุณไม่สามารถย้ายไปไหนได้ และการ export ข้อมูลออกจากระบบก็มีข้อจำกัด